เกี่ยวกับ Projector
ความเป็นมาของเครื่องฉายภาพเคลื่อนไหว
ณ ช่วงเวลาหนึ่งมนุษย์มักจะสามารถก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดของธรรมชาติเสมอ เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว มนุษย์พยายามที่จะสร้างภาพและเก็บบันทึกภาพของสิ่งต่างๆรอบตัว มนุษย์ค้นพบไฟและได้ใช้ให้เกิดประโยชน์มากมาย มนุษย์เรียนรู้วิธีการทำให้เกิดเงาขึ้นที่ผนังถ้ำโดยใช้ไฟเป็นแหล่งกำเนิดแสง ใช้มือในการสร้างภาพจากเงาเป็นรูปวัตถุหรือสัตว์ต่างๆ
500 ปีก่อนคริสตกาลหนึ่งในแนวความคิดเกี่ยวกับการฉายภาพได้เกิดขึ้น ในตอนกลางวันถ้าเราเข้าไปอยู่ในห้องมืดเจาะรูเล็กๆบนฝาผนังด้านหนึ่งแล้วมองไปที่ฝาผนังฝั่งตรงข้าม เราจะเห็นภาพวิวที่อยู่ภายนอกห้องในลักษณะกลับหัว ลักษณะของการทำงานดังกล่าวคล้ายๆกับกล้องถ่ายรูปนั่นเอง โดยเลนส์จะถูกแทนที่ด้วยรูเล็กๆที่ซึ่งแสงสามารถผ่านได้และทำให้เกิดภาพในลักษณะกลับหัว วิธีการที่ทำให้เกิดภาพเช่นนี้ถูกค้นพบโดยนักปราชญ์ชาวจีนชื่อโมทิ โมทิรู้ว่าแสงเดินทางเป็นเส้นตรงโมทิและเพื่อนของเขา ชัง เชา สามารถอธิบายได้ว่าทำไมภาพถึงกลับหัวและยังอธิบายถึงคุณสมบัติของแสงและเงา ในบรรทึกของโมทิเขาได้สังเกตุภาพที่กลับด้านของวัตถุและอธิบายถึงการทำให้ได้ภาพที่ถูกต้อง
นักปราชญ์ชาวกรีก Aristotle สอนเกี่ยวกับทฤษฎีของเขาว่า วัตถุสามารถสะท้อนแสงได้ด้วยตัวของมันเองทำให้ตาเราสามารถมองเห็นวัตถุนั้นได้ เขาได้สังเกตรูปทรงเสี้ยวของดวงอาทิตย์ขณะที่มีการเกิดสุริยุปราคาที่ปรากฏอยู่บนพื้นผ่านทางช่องว่างระหว่างใบไม้ของต้นไม้ และได้บันทึกเอาไว้ว่ายิ่งใช้รูรับแสงเล็กมากเท่าไหร่ก็จะได้ภาพจะที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แนวคิดที่ใช้รูเล็กๆในการสร้างภาพถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาลและกลายเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่ใช้ในการศึกษาดาราศาสตร์
จากบันทึกของ Jahannes de Fontana ในปี ค.ศ. 1420 เขาได้วาดรูปพระกับโคมไฟซึ่งภายในโคมไฟมีวัสดุที่แสงสามารถผ่านได้และมีรูปภาพปีศาจถือหอกอยู่ โคมไฟสามารถทำให้เกิดภาพปรากฏขึ้นที่บนผนังกำแพงได้ แนวคิดนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายและบุคคลเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องฉายภาพที่เรียกว่า Magic Lantern
Leonardo Da vinci ได้วาดภาพของอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยเลนส์ เทียนไข และปล่องไฟ เพื่ออธิบายแนวความคิดในการฉายภาพ
ค.ศ. 1490 Leonardo Da vinci บันทึกไว้ในสมุดบันทึกของเขาว่า? When the images of illuminated objects pass through a small hole into a very dark room? you will see on paper all those
objects in their natural shapes and colours
Reinerus Gemma-Frisius นักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ชาวดัชได้ทำการสังเกตุและวาดภาพโดยการเจาะรูเล็กๆในห้องมืดเพื่อศึกษาเกี่ยวกับการเกิดสุริยคราสเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ.1544 เป็นเวลากว่าศตวรรษที่วิธีการนี้ถูกใช้ในการศึกษาสุริยะคราสโดยไม่ทำให้เป็นอันตรายต่อสายตา วิธีการนี้เรียกว่า ?Camera Obscura? ในภาษาลาติน Camera แปลว่าห้อง , Obscura แปลว่ามืด
ค.ศ.1646 Athansius Kircher ได้วาดภาพและอธิบายถึงอุปกรณ์สำหรับสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์หรือแสงเทียนด้วยกระจกเงา ผ่านเลนส์และภาพสไลด์ไปยังจอรับภาพ
ยุโรปเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1659 Christian Huygens นักวิทยาศาสตร์ชาวฮอลแลนด์และ Thomas Rasmusser Walgenstien นักคณิตศาสชาวเดนมากได้ร่วมกันพัฒนาเครื่องฉายภาพต้นแบบขึ้น Hugens ซึ่งเชี่ยวชานในด้านทฤษฎีของแสงได้ทำการทดลองมากมายเกี่ยวกับเลนส์และประดิษฐ์เครื่องฉายภาพขึ้นโดยถูกเรียกว่า Latena Magicca ต่อมา Thomas ได้ท่องไปตามประเทศต่างๆในยุโรปและแสดงสิ่งประดิษฐ์นี้ Huygens ได้ร่วมทำธุรกิจกับช่างทำเลนส์ชาวลอนดอน Richard Reeves และเริ่มสร้างเครื่องฉายภาพออกขายเมื่อ ค.ศ.1663 Samuel Pepys ซึ่งเป็นลูกค้ารายแรกๆได้ซื้อเครื่องฉายภาพจาก Reeves เมื่อ 19 สิงหาคม ค.ศ.1666 ได้บรรทึกไว้ในสมุดบรรทึกของเขา Come by agreement Mr.Reeves , bringing me a lanthorn , with pictures on glass , to make strange things appear on a wall , very pretty
เมื่อศตวรรษที่ 18 มาถึงมีคนจำนวนมากมายที่มุ่งพัฒนาเครื่องฉายภาพและอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องเช่น เลนส์ กระจกเงา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งกำเนิดแสง เพื่อให้ผู้ที่ใช้เครื่องฉายภาพสามารถฉายภาพให้ผู้ชมจำนวนมากขึ้นในสถานที่ที่ใหญ่ขึ้น ค.ศ.1808 นักเคมี Humphry Davy ได้นำเสนอวิธีการที่จะทำให้เกิดแสงสว่างโดยการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านไปตามแท่งทองคำขาว และในปี ค.ศ.1809 เขาได้แสดงวิธีการส่งกระแสไฟฟ้าจำนวนมากผ่านระหว่างช่องว่างของแท่งคาบอนสองแท่งเพื่อให้ได้แสงสว่างมากๆ นับเป็นหลอดไฟฟ้าหลอดแรกที่ได้มีการประดิษฐ์ขึ้น หลอดไฟฟ้าชนิดนี้เรียกว่า Arc lamp
ช่วงต้นศตวรรษที่ 18 เครื่องฉายภาพถูกนำมาฉายภาพเพื่อสร้างความกลัวให้กับผู้ชมเช่นภาพปีศาจในกลุ่มควันลอยไปมาบนผนังกำแพง
Robertson วางเครื่องฉายไว้บนล้อเลื่อนและด้วยการเลื่อนไปด้านหน้าหรือด้านหลังทำให้เขาสามารถขยายหรือลดขนาดของภาพได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะเหมือนกับระบบซูมเลนส์ในปัจจุบัน
Robertson วางเครื่องฉายไว้บนล้อเลื่อนและด้วยการเลื่อนไปด้านหน้าหรือด้านหลังทำให้เขาสามารถขยายหรือลดขนาดของภาพได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะเหมือนกับระบบซูมเลนส์ในปัจจุบัน
เดือนพฤษภาคม ค.ศ.1816 Joseph Nicephore Niepce นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศษสามารถถ่ายภาพวัตถุลงบนแผ่นกระดาษได้เป็นครั้งแรก กระบวนการที่ทำให้เกิดภาพนี้เรียกว่า ?Heliography? โดยการใช้ Camera Obscura เพื่อรับภาพและใช้กระดาษที่เคลือบด้วยสารซิลเวอร์คลอไรด์ ภาพที่ได้มีลักษณะเหมือนฟีล์มเนกาทีฟ แต่ภาพจะปรากฏอยู่ชั่วคราวเท่านั้นและค่อยๆจางหายไป ค.ศ.1826 Niepce ได้ทำการถ่ายภาพจากหน้าต่างที่บ้านของเขาโดยใช้ Camera Obscura ครั้งนี้เขาต้องใช้เวลาเปิดหน้ากล้องในการถ่ายรูปถึง 8 ชั่วโมง ภาพที่ถ่ายได้ปรากฏอยู่อย่างถาวรไม่จางหายไปอีก ภาพนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า View from the Window at Gras
View from the Window at Gras
เมื่อมองไปรอบๆตัวเราจะเห็นภาพของวัตถุต่างๆทั้งที่อยู่กับที่และกำลังเคลื่อนที่ ตาของมนุษย์สามารถรับภาพนั้นได้จริงหลังจากที่เราเห็นภาพประมาณ 1/14 วินาที Sir Isaac Newton ได้ค้นพบข้อเท็จจริงเหล่านี้ ภาพยนตร์หรือโทรทัศน์สร้างภาพต่อเนื่องจากภาพหนึ่งไปยังอีกภาพหนึ่งด้วยความเร็วภาพ 24 ภาพต่อวินาที ด้วยความเร็วที่มากกว่าตาของเราจะสามารถรับภาพได้ถึงสองเท่าทำให้เราเห็นภาพนิ่งเหล่านั้นเป็นภาพเคลื่อนไหว นั่นเป็นการหลอกให้สมองของเราเชื่อว่าวัตถุนั้นกำลังเคลื่อนไหวทั้งๆที่จริงๆแล้วเป็นภาพนิ่ง แนวคิดนี้ได้ถูกบรรจุลงในของเล่นเพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับเด็ก ของเล่นชนิดนี้เรียกว่า ?Thaumatrope? มันเป็นของเล่นที่สร้างจากแผ่นวงกลมลักษณะคล้ายกับแผ่นดิสค์ที่เราใช้กัน ทั้งสองด้านของแผ่นวงกลมจะมีภาพนกและกรงนกอยู่และถูกร้อยด้วยเชือก เมื่อทำให้ของเล่นนี้หมุนเราจะเห็นภาพนกเข้าไปอยู่ในกรง Thaumatrope ถูกประดิษฐ์ขึ้นประมาณ ค.ศ.1825 โดย Dr.John Ayrton Paris
Thaumatrope
อุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่สามารถหลอกตาของเราได้คิดค้นขึ้นโดย Michael Faraday อุปกรณ์นี้สร้างจากแผ่นวงกลม 2 วงที่มีแกนกลางอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เมื่อหมุนวงล้อเราจะเห็นภาพเคลื่อนไหวได้โดยมองผ่านทางช่องเล็กๆบนแผ่นวงกลมและถ้าเราหมุนวงล้อทั้งสองสวนทางกันเราจะเห็นภาพเคลื่อนไหวช้าลงหรืออาจหยุดนิ่งเลยก็ได้
ต่อมา ค.ศ.1832 นักฟิสิกส์ชาวเบลเยี่ยม Joseph Ferdinand Plateau ซึ่งได้แรงบรรดานใจมาจากสิ่งประดิษฐ์ของ Michael Faraday ได้พัฒนาสิ่งประดิษฐ์นี้ให้กลายเป็นของเล่นเรียกว่า Phenakistiscop โดยการนำแผ่นวงกลมสองวงที่มีขนาดต่างกันมาประกอบซ้อนกัน ที่แผ่นวงกลมแผ่นเล็กจะมีช่องสำหรับมองภาพอยู่รอบๆ ในการใช้งานต้องวางอุปกรณ์นี้ไว้หน้ากระจกเงาเมื่อเราทำให้มันหมุนเราจะสามารถเห็นภาพเคลื่อนไหวได้จากกระจกเงา
Phenakistiscope
Zoetrope อุปกรณ์สำหรับสร้างภาพเคลื่อนไหวประดิษฐ์ขึ้นโดย William George Horner ค.ศ.1834 Zoetrope สร้างจากแนวคิดเดียวกับ Phenakistiscope แต่ได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเพื่อให้สามารถดูภาพได้ทีละหลายๆคนพร้อมๆกันโดยไม่ต้องดูอยู่หน้ากระจกเงาอีก อุปกรณ์นี้ลักษณะคล้ายกับกลองแต่เปิดฝาด้านบนออก วาดภาพวัตถุเคลื่อนไหวในช่วงต่างๆกันติดไว้รอบตัวถังด้านใน ผู้ชมสามารถนั่งอยู่ลอบๆแล้วมองภาพผ่านช่องเล็กๆได้พร้อมๆกัน
ค.ศ.1891 Thomas Alva Edison และผู้ช่วย William K.L.Dickson ได้ประดิษฐ์ Kinetoscope (อุปกรณ์สำหรับใช้ดูภาพเคลื่อนไหว ) ขึ้นที่สตูดิโอ Black Maria ซึ่งตั้งอยู่ที่ West Orange , New Jersy ห้องทดลองแห่งแรกของ Edison ตัวเครื่องทำด้วยไม้ขนาดสูง 4 ฟุตมีหลอดไฟฟ้าเป็นแหล่งกำเนิดแสงและใช้ฟิล์ม 35 มม. ฟิล์มมีความยาวประมาณ 30 ? 60 วินาที ผู้ชมต้องชมภาพยนตร์ผ่านทางเลนส์ที่ช่องด้านบนเครื่อง ผู้ชมสามารถชมภาพยนตร์ได้ทีละหนึ่งคนเท่านั้น
Kinetoscope
ต่อมาแนวคิดของ Edison ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับสองพี่น้องชาวฝรั่งเศส Louis และ Auguste Lumiere วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1895 พวกเขาได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่สามารถเป็นทั้งกล้องถ่ายภาพและเครื่องฉายภาพได้ด้วย อุปกรณ์นี้สามารถฉายภาพให้ผู้ชมชมได้เป็นจำนวนมากในเวลาเดียวกัน สิ่งประดิษฐ์นี้เรียกว่า Cinematographe สิ่งประดิษฐ์ของเขาใช้ฟิล์ม 35 มม.เช่นเดียวกับเอดิสันแต่มีความเร็วภาพ 16 เฟรมต่อวินาที มีขนาดเล็กน้ำหนักเบาสามารถถือได้ด้วยมือทำให้เคลื่อนย้ายไปตามสถานที่ต่างๆได้สะดวก
Cinematographe
12 ธันวาคม ค.ศ.1895 Thomas Armat และ Charles Francis Jenkins ประดิษฐ์เครื่องฉายภาพ Phantoscope ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1896 Edison ซื้อลิขสิทธิ์ ?Phantoscope? ปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Vitascope 23 เมษายน ค.ศ.1896 มีการจัดฉายภาพยนตร์ครั้งแรกด้วยเครื่อง Vitascope ขึ้นที่ Koster and Bails Music Hall ใน New York สิ่งประดิษฐ์ของ Edison Vitascope ถือเป็นเครื่องฉายภาพเคลื่อนไหว (Motion Picture Projector) ที่ได้รับความสำเร็จอย่างสูงในประเทศสหรัฐอเมริกา